นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน3-4 - นิยาย นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน3-4 : Dek-D.com - Writer
×

    นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน3-4

    ผู้เข้าชมรวม

    91

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    91

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  5 ส.ค. 56 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                                                    3.ซ่อนดาบในรอยยิ้ม

                    รถบัสเล็กของคณะถ่ายทำรายการทีวีจากเมืองไทยแล่นออกจากเกาะยางจองที่ตั้งของสนามบินอินชอน ขับข้ามสะพานขนาดใหญ่ที่ด้านบนเป็นทางรถยนต์ส่วนด้านล่างเป็นทางรถไฟมุ่งสู่ผืนแผ่นดินใหญ่  อินชอนเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มองเห็นแนวปั้นจั่นเรียงราย ทะเลมีคลื่นลมแรงและพื้นเป็นโคลน  เมื่อขับผ่านถนนเลียบชายฝั่งจะมองเห็นร้านอาหารทะเลตั้งเรียงราย หน้าร้านมีตู้กระจกโชว์อาหารทะเลสดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปลาหมึก 

    ...ย่านชายทะเลที่เป็นเขตท่าเรืออุตสาหกรรมในโลก จำนวนปลามักจะลดลง ยกเว้นปลาหมึกและแมงกะพรุนที่กลับเพิ่มจำนวนขึ้น นักวิชาการบางท่านให้เหตุผลว่าเป็นเพราะปลาหมึกและแมงกะพรุนจะจับคู่ผสมพันธ์กันในช่วงพระจันทร์เต็มดวง...อารมณ์โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย  แต่ในเขตเมืองท่าเรือ แสงไฟจากตัวเมืองชายฝั่งทำให้สัตว์ทั้งสองชนิดนี้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นแสงจันทร์ จึงจับคู่ผสมพันธุ์กันบ่อยขึ้นกว่าปรกติ ทำให้มีจำนวนมากขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ทำให้กิจกรรมทางเพศของพวกมันเพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ก็น่าสงสารพวกมันเหมือนกัน เพราะคงต้องเหนื่อยกันแย่เลย

                    เดือนเมษายนเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของเกาหลี หิมะกำลังละลายอากาศค่อนข้างเย็นสบายสำหรับคนไทย สองข้างทางที่รถแล่นผ่านจึงมองเป็นใบอ่อนและดอกไม้ผลิบานดูสวยงามลานตา  โดยเฉพาะดอกไม้สีเหลืองสวยแปลกตาที่ขึ้นประดับแซมอยู่ตามริมถนนมองเห็นได้เกือบตลอดทาง

                    “ดอกไม้สีเหลืองนั้นชื่ออะไรคะ...”พี่แจ๋ว สาวหมวยร่างอวบอืด ฝ่ายประสานงานและการเงินหันมาถามคณะไกด์อย่างอยากรู้

                    “อ๋อ...ชื่อดอก...อะรูไมไร๊...ฮะ”แต๊กอึกอักนิดหนึ่ง ก่อนพูดตอบ...แล้วฉีกยิ้ม

                    “ดอกอะรูไมไร๊....คงเป็นภาษาเกาหลีใช่มั๊ยคะ  ฟังดูโรแมนติกดีจัง”น้องจิ๊บที่นั่งอยู่หน้ารถใกล้กับคณะไกด์หันมาพูดกับโบอา

                    “...ค่ะ...”โบอายิ้มตอบ แอบหันไปชำเลืองมองแต๊กที่ทำหน้ากลั้นยิ้ม

                    ความจริง อะรูไมไร๊ ไม่ใช่ภาษาเกาหลีแต่เป็นภาษาไทยของชาวเผ่าชอบผวน... อะรูไมไร๊ ก็คือ อะไรไม่รู้...

                    ข้อเท็จจริงก็คือ ดอกไม้สีเหลืองที่ขึ้นดาษดื่นสวยงามอยู่ริมทางนั้นคือดอกคานารีสีเหลือง ส่วนดอกไม้ตามข้างทางอื่นๆนั้นก็มีเช่น ดอกจินดัลแล จะมีสีชมพูอมม่วง  ดอกซากูระหรือที่เกาหลีเรียกว่าต้นบอชนามู มีสีขาวอมชมพูสะพรั่งเต็มต้นอย่างที่เราคุ้นตากันดี

                    ก้อง โปรดิวเซอร์หล่อเซอร์ นายนกเขาครีเอทีฟสุดติสท์และนายใหม่ตากล้องรอบจัดมองเห็นอาการกลั้นยิ้มของแต๊กก็เริ่มพอจะเดาออกได้ว่ามีการอำเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าทีกระโตกกระตากอะไร เพราะยังไม่ใช่เวลาเอาคืน....

                    แต่ภายในรถบัสคันนั้น นอกจากการอำกันเล่นและการวางแผนเอาคืนกันแล้ว...ก็ยังมีแผนร้ายอีกแผนหนึ่งซ่อนอยู่ในทัวร์ครั้งนี้ด้วย

                    เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณนายเจี๊ยบดังขึ้น น้องจิ๊บหันมามองคุณแม่ของเธอก่อนพูด

                    “ถ้ารับสายที่โทรมาจากเมืองไทยจะโดนหลายตังเลยนะคะคุณแม่..”

                    คุณนายเจี๊ยบชำเลืองมองดูเบอร์ที่โทรมา สีหน้าเผลอมีพิรุธนิดหนึ่งก่อนจะตอบรับสายนั้นด้วยน้ำเสียงเบาปานกระซิบ

                    “เป็นไง....รับมาแล้วเหรอ....ดี....พาไปต่างจังหวัดก่อนเหรอ....ดี.....ถ่วงเวลาไว้....แล้วจะโอนเงินให้...”คุณนายเจี๊ยบวางสาย

                    “ใครโทรมาคะคุณแม่”น้องจิ๊บถาม

                    “เรื่องงานนิดหน่อยน่ะจ๊ะ ไม่มีอะไร”

    คุณนายเจี๊ยบตอบ เผลอชำเลืองมองดูโบอาแวบหนึ่ง เป็นตอนที่โบอาหันมาพอดีแล้วยิ้มให้ คุณนายเจี๊ยบทำหน้าเฉยก่อนจะหันไปมองวิวนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนสีหน้าของตัวเอง

                   

    ขณะเดียวกัน ในรถแท็กซี่เกาหลีคันหนึ่ง แอนนี่วางสายมือถือ หันมาชำเลืองแล้วยิ้มให้กับเอมมี่พี่กะเทยฝาแฝดของตนนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปเห็นว่าตั๊กนักสืบเอกชนหน้าทะเล้นกำลังจ้องมองเธออยู่ ทำให้เผลอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการพิรุธ

                    “แอนนี่โทรเช็คกับเพื่อนแล้วค่ะ  คือว่าตอนนี้โบอากำลังพาคณะทัวร์ไปหมู่บ้านปันมุนจอมที่ชายแดนเกาหลีค่ะ...แถวนั้นมันเป็นเขตความมั่นคง สัญญาณโทรศัพท์เลยไม่ค่อยดี...”แอนนี่พยายามอธิบาย

                    “ถ้าอย่างนั้นเราคงจะต้องหารถเช่า แล้วขับรถตามไปต่างจังหวัดกันแล้วละค่ะ ถ้าถึงกลางทางแล้วโทรติดต่อได้จะได้รีบรับโบอากลับมาด้วยกันเลย ดีมั๊ยคะพี่ตั๊ก...”เอมมี่เกลี้ยกล่อม

                    “ก็...ที่นี่มันเกาหลีนี่...ยังไงผมก็ต้องพึ่งคุณสองคนอยู่แล้ว”ตั๊กตอบ สีหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตายังคงซ่อนความสงสัยระแวงแคลงใจบางอย่างไว้...

     

                    หลังจากที่เห็นว่าคณะถ่ายทำรายการทีวีจากเมืองไทยทานอาหารเช้าแฮมเบอร์เกอร์พร้อมน้ำและกาแฟจนสติเริ่มตื่นกันดีแล้ว ชาวไกด์ทั้งสี่ก็มายืนกันที่ด้านหน้า ขณะที่รถกำลังมุ่งสู่ย่านวอนมิโดในเขตเมืองอินชอน

                    “ขอสวัสดีอย่างเป็นทางการจากพวกเราชาวบริษัทมีโซ-โคเรียนทราเวลค่ะ...มีโซเป็นภาษาเกาหลีแปลว่า..รอยยิ้ม เราทุกคนก็หวังว่าทัวร์ครั้งนี้จะมีแต่รอยยิ้มนะคะ...”โบอาเริ่มพูดเกริ่นนำผ่านไมโครโฟน เรียกเสียงปรบมือจากทุกคน

                    “และเนื่องจากการติดต่อให้จัดทัวร์พิเศษเพื่อถ่ายทำรายการครั้งนี้เป็นไปอย่างฉุกละหุกมาก พวกเราทีมงานไกด์อาจยังไม่เข้าใจเป้าหมายและความต้องการของทุกท่านดีพอ จึงต้องขอเชิญโปรดิวเซอร์ของรายการขึ้นมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจด้วยค่ะ...”โบอาพูดพลางผายมือเชื้อเชิญไปที่โปรดิวเซอร์หนุ่มหล่อเข้ม

                    ก้องขยับตัวลุกขึ้นเดินมานั่งใกล้ๆโบอา จ๋าตากล้องหญิงกดชัตเตอร์ถ่ายรูปพลางพึมพำว่าทั้งคู่หล่อสวยสมกันดี ทำให้น้องจิ๊บที่นั่งอยู่เก้าอี้หลังมีสีหน้างอนนิดๆ

                    “...ครับ...สวัสดีอย่างเป็นทางการสำหรับคุณไกด์ทั้งสี่และพี่โชเฟอร์...”ก้องเริ่มเกริ่น แก้เขิน

                    “ขอแนะนำโชเฟอร์ของเรา ชื่อ....ชินดงฮีค่ะ.....มีดาราเกาหลีชื่อนี้ด้วยนะคะ...แต่ไม่แนะนำให้คิดถึงชื่อนี้ในความหมายแบบภาษาไทย...”

    แพรรี่พูดแทรกขึ้น มิสเตอร์ชินยกมือขึ้นข้างหนึ่งเหมือนจะรับทราบคำแนะนำตัว ขณะที่มีเสียงหัวเราะก๊ากจากนายนกเขาและนายใหม่ผู้มีสมองไวกับมุกลามกเป็นพิเศษ ทำให้สาวๆในรถคิดออกขึ้นมาทันทีว่าชื่อของโชเฟอร์นั้นมีเสียงคล้ายคำความหมายทะลึ่งในภาษาไทย ก่อนจะแอบหัวเราะกันคิกคัก

                    “...เล่นเอาพูดไม่ออกเลย...สงสัยคงเพราะยังไม่ค่อยชิน...”ก้องพลอยพูดติดตลกผสมโรง ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่อง

                    “ขออธิบายให้ทีมไกด์ทราบว่า ทีมงานของเราคือรายการ...รอบรู้รอบโลก!  เป็นรายการพาเที่ยวทั่วโลกโดยจะสอดแทรกความรู้ที่ได้จากสถานที่ๆเราเดินทางไป  เน้นความรู้ที่ให้แง่คิดทางสังคม หรือไอเดียต่างๆที่จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์แปลกๆใหม่ๆ หรือว่าความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ อย่างเช่นในคอนเซ็ปเกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ก็คือ....คนเกาหลีเปลี่ยนแรงกดดันมาเป็นแรงผลักดันได้อย่างไร ถึงทำให้เปลี่ยนแปลงประเทศที่แทบล่มสลายหลังสงครามเกาหลีเมื่อหกสิบปีที่แล้วจนกลายมาเป็นประเทศชั้นแนวหน้าของโลกได้...”

                    “คนเกาหลีเปลี่ยนแรงกดดันมาเป็นแรงผลักดันได้อย่างไร! แหม ฟังแล้วเป็นรายการท่องเที่ยวที่ฉลาดลึกซึ้งมากเลยนะคะ”แพรรี่เอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม เวอร์จนออกนอกหน้า

                    “...รายการของเราอาจจะเป็นรายการที่ดูยากซักหน่อย...”ก้องพูดเสริม

                    “หมายถึงเป็นวิชาการ เข้าใจยากเหรอคะ”เบลล์ถาม

                    “เปล่าครับ..คือมันออกอากาศตอนตีหนึ่งนะครับเลยดูยาก ”ก้องตอบหน้านิ่งๆ ชาวไกด์และทีมงานบางคนหัวเราะออกมา

                    “แต่เจ้กำลังวิ่งเต้นอยู่ ต้นปีหน้านี้เราน่าจะมีข่าวดีได้ย้ายเวลา”คุณนายเจี๊ยบพูด

                    “จริงเหรอคะ ได้ย้ายมาอยู่ไพร์มไทม์รึเปล่าคะ..”พี่แจ๋วถาม เสียงมีความหวัง

                    “ย้ายจากตีหนึ่งมาอยู่หกโมงเช้า”คุณนายเจี๊ยบตอบ พลางยิ้ม

                    “ดีเลยครับ ถือเป็นการย้ายกลุ่มคนดูเป้าหมาย จากพวกเมากลับจากเที่ยวผับมาแล้วเปิดดูก่อนหลับ ไปเป็นกลุ่มที่ตื่นขึ้นมานั่งรอใส่บาตรพระตอนเช้า”ก้องวิเคราะห์แบบช่วยเรียกเสียงฮากับตลกร้ายกัดตัวเองกับเป็นความจริงในวงการธุรกิจทีวีเมืองไทย

                    “ส่วนพิธีกรรายการมีสองคน พิธีกรหญิงคือน้องจิ๊บ...ดาราดาวรุ่งคนสวย...”

    ก้องผายมือแนะนำ ขณะที่น้องจิ๊บลุกขึ้นทำท่าถอนสายบัวรับเสียงปรบมือ

                    “ส่วนพิธีกรชายคือผมเอง....อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นการผลักดันตัวเองหรือว่าอยากดังนะครับ เพราะเหตุผลจริงๆนั้นเป็นเรื่องของการประหยัดครับ...จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าตัวเพิ่ม ตามนโยบายของเจ้...”

                    “แหม ที่เจ๊ให้ก้องช่วยเป็นพิธีกรด้วยเนี่ยไม่ใช่เรื่องประหยัดอะไรหรอกนะจ๊ะ แต่เพราะว่าตอนที่ก้องเอาโปรเจ็ครายการนี้มาเสนอน่ะ เจ๊ก็เห็นหน่วยก้านว่าก้องเป็นคนเก่ง มีความรู้ดี มีไหวพริบ พูดจาน่าเชื่อถือ เหมาะกับการเป็นพิธีกรที่สุด  ส่วนเรื่องประหยัดน่ะมันเป็นผลพลอยได้จ๊ะ...”คุณนายเจี๊ยบพูดแก้ต่างให้ตัวเองแบบขำๆ

                    “ขอบคุณครับ...และผมก็ขออนุญาตแนะนำอย่างเป็นทางการสำหรับเจ้าของบริษัทและนายทุนที่พาเรามาเที่ยวและทำงานในครั้งนี้ เจ้ใหญ่ของเรา...พี่เจี๊ยบครับ”

    ก้องผายมือแนะนำ คุณนายเจี๊ยบลุกขึ้นยืนรับไหว้บรรดาชาวไกด์และโบกมือรับเสียงปรบมือกรี๊ดกร๊าดเอาใจเจ้านายจากทีมงานรายการ

                    “พี่เจี๊ยบมีอะไรจะกล่าวเป็นพิเศษมั๊ยครับ”ก้องถามพลางยื่นไมค์ส่งให้

                    “มีจ้ะ...คือในวาระพิเศษแบบนี้เจ้อยากจะบอกว่า...ทุกคนน่ารักมาก แต่แฮมเบอร์เกอร์เมื่อกี้ชิ้นเล็กไปหน่อยไม่ค่อยอิ่ม..”

                    คำพูดแบบอารมณ์ดีของคุณนายเจี๊ยบทำให้บรรยากาศยิ้มแย้มเป็นกันเองมากขึ้น  ก่อนจะยื่นไมค์ส่งต่อให้ทีมงานรายการแนะนำตัวทีละคน

                    “หวัดดี พี่ชื่อแจ๋วจ๊ะ ทำหน้าที่การเงินและประสานงานกองถ่าย ดีใจมากที่ได้มาเกาหลี เพราะชอบดูซีรีย์เกาหลีมาก พี่ชอบแจงดองกัน ชอบแบยองจุน  ....น้องไกด์คะอย่างพี่เนี่ย ใช้ชื่อเกาหลีว่าอะไรดีคะ”พี่แจ๋วเอ่ยถามชาวไกด์

                    “...ยัง คอย คาน...”เสียงตะโกนแทรกดังมาจากนายนกเขา ด้านหลังรถ

                    “...แก่ แต่ ซิง...”นายใหม่ตากล้องแย่งตะโกนเสนอชื่อเข้าประกวดบ้าง

                    “ไอ้ใหม่ ไอ้นกเขา..ชั้นว่าชื่อเกาหลีของพวกแกน่ะมันต้องชื่อวอนโดนแทงกับวอนนอนคุก..”พี่แจ๋วหันมาแว๊ดใส่เสียงแหลม

                    “เฮ๊ย ไอ้ใหม่ เราสองคนได้เป็นญาติกับวอน บินแล้วเว๊ย...”นายนกเขาอารมณ์ดีที่ถูกด่า หันมายักคิ้วให้นายใหม่

                    ขณะที่พี่แจ๋วกำลังเริ่มตัวสั่นเพราะของขึ้น องค์กำลังจะลง โบอาก็พูดเสียงหวานขึ้นว่า

                    “โบอาว่าชื่อเกาหลีที่เหมาะกับพี่แจ๋วที่สุดต้องชื่อ..อึนฮเยค่ะ...แปลว่าความเมตตากรุณา...”

                    “อุ๊ย! อึนฮเย....เหมือนชื่อนางเอกคอฟฟี่ปริ๊นซ์ใช่มั๊ยจ๊ะ  ใช่เลย...น้องพูดถูก พี่น่ะเหมาะกับชื่อนี้มาก”พี่แจ๋วยิ้มแก้มตุ่ย นัยน์ตาฝันลอย หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง

                    “...พี่แจ๋วนี่แซ่โง้วใช่มั๊ย งั้นก็ต้องเป็น โง้วอึนฮเย..”นายนกเขายังไม่เลิกยั่ว

                    “อึนฮเย...ความเมตตากรุณา....ชื่อไม่ตรงกับนิสัยเอาซะเลย...”

    นายใหม่พูดพลางชำเลืองมองพี่แจ๋ว แต่เมื่อเห็นว่าของลงไปแล้ว ยั่วไม่ขึ้น เลยเลิกพยายาม ในขณะที่พี่แจ๋วยื่นไมค์ต่อให้กับจ๋า ตากล้องสาวอารมณ์ติสท์ พูดเสียงช้านุ่มนิ่มยังกับแม่ชี

                    “สวัสดี เราชื่อจ๋านะ ทำหน้าที่กล้องสอง คือถ่ายกว้าง เก็บภาพinsert  แล้วก็ตัดต่อ... ความจริงเราเสนอว่าอยากให้ไปถ่ายเนปาลมากกว่า แต่ในทีมมีแต่คนอยากมาเกาหลี...เค้าชอบหวือหวากันแต่เราไม่ค่อยชอบ เราว่าในรายการควรจะแฝงเรื่องธรรมมะมากว่านี้ อะไรอีกล่ะ อ้อคือเราจบนิเทศมานะ..”

                    “...สาธุ..”นกเขายกมือไหว้จบเหนือหัวแล้วใช้มือลูบผมตัวเอง

                    “จะไหว้ทำไม..เค้าบอกว่าจบนิเทศ ไม่ใช่จบการเทศน์”นายใหม่ช่วยพูดตบมุกให้แบบเข้าขา

                    “ทำไมต้องแซวเราด้วย เบื่อพวกแกมากเลยว่ะ...ไอ้พวกคนหลงโลก..”

    จ๋าบ่นพึมพำไม่พอใจก่อนจะโยนไมค์ไปให้นายใหม่จนตาเหลือกตกใจ แต่ก็ลุกขึ้นคว้าไว้ได้ทัน

                    “โหย เล่นของแพงนะเจ๊....”นายใหม่ครวญก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเอง

                    “สวัสดีครับคุณไกด์คนสวย..และไม่สวย ผมชื่อใหม่ครับ ทำหน้าที่กล้องหนึ่ง แล้วก็ตัดต่อด้วย....ความจริงงานที่ทำอยู่เนี่ย ถือเป็นงานอดิเรกเพราะใจรัก...ที่บ้านรวย เกาะพ่อกินก็อยู่ได้...แล้วชอบด้วย มันตรงกับนิสัย”

                    “อุ๊ย! แล้วมีแฟนรึยังคะ”แพรรี่ทำตาเยิ้มถามมาจากหน้ารถ ทำท่าหยิบหัวใจตัวเองแล้วโยนให้

                    “ยังครับ...แต่คติประจำใจของผมก็คือ...ถึงไม่หล่อ แต่กูก็เลือก!”นายใหม่ตอบพลางทำท่าคว้าหัวใจแพรรี่ไว้ โยนลงพื้นแล้วกระทืบ

                    “...คนใจร้ายยยย...”แพรรี่ทำเสียงตอแหล บีบน้ำตา เรียกเสียงฮาลั่นรถ

                    นายนกเขารับไมค์มาแล้วก็ทำท่างึมงำท่องคาถาแล้วเป๋าใส่ไมค์

                    “หุย...เล่นของด้วย มิน่าถึงได้ตาเยิ้มเชียว”นายใหม่ทัก

                    “ไม่ใช่กัญชา!...”นายนกเขาหันมาตบมุกก่อนจะว่าคาถาต่อจนจบ

                    “พุทธะมะอะอุ ใครฟังแล้วให้รักกู..ให้หลงกู...ให้กูยืมเงิน...เพี๊ยง!

                    “แหม คาถานี้น่าเรียนไปใช้บ้าง”แต๊กพูดขึ้น

                    “เอ้อ สวัสดีครับ ผมชื่อนกเขาครับ ความจริงหม่อมแม่ตั้งชื่อเล่นให้ว่านก แต่สมัยเรียนเพื่อนๆบอกว่าเป็นคนมีอารมณ์ขันสุรุ่ยสุร่ายมาก เลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่าไอ้นกเขา..”นายนกเขาพูดดัดเสียงหล่อราวกับพากย์เสียงพันธมิตร

                    “ชอบขัน ทำไมไม่ตั้งชื่อว่าไก่”นายใหม่ถาม

                    “ชื่อไก่นั่นพ่อผมครับคุณเม้ง”นายนกเขาหันไปตอบเพื่อน

                    “เม้งนั่นก็ชื่อพ่อผมครับ..”นายใหม่พูดรับมุกเพื่อน แบบผลัดกันล้อชื่อพ่อเพื่อน

                    “....หน้าที่ของผมคือครีเอทีฟ หาข้อมูลแล้วก็เขียนบทโทรทัศน์ครับ ความไฝ่ฝัน..อยากเป็นผู้กำกับ...หมายถึงกำกับหนังหรือละครนะครับ รีบตอบก่อน เดี๋ยวลูกตาเม้งขี้สงสัยจะถามอีกว่าทำไมไม่ไปสมัครตำรวจ...ละครซีรีย์เกาหลีนี่ผมก็ชอบมากเลย แต่ไม่ค่อยชอบตอนจบเท่าไหร่ เพราะชอบให้นางเอกเป็นโรคตายทุกที ไม่รู้ว่าผู้หญิงเกาหลีสวยๆจะขี้โรคกันทุกคนรึเปล่าครับคุณโบอา..”

    ประโยคสุดท้ายนายนกเขาฉวยโอกาสหันไปหยอดใส่ไกด์สาวคนสวยทันที ทำเอานายใหม่หงุดหงิดตัวเองที่เมื่อกี้นี้พลาดไปได้ยังไง

                    “...ไม่ทุกคนหรอกค่ะ โบอาก็ชอบดูละครไทยนะ แต่ไม่ชอบเลยที่มีตอนพระเอกข่มขืนนางเอก จากนั้นสองคนก็จะเผลอหลับไปด้วยกันก่อนที่นางเอกจะตื่นขึ้นมาโวยวายตอนเช้า...ส่วนตอนจบพระเอกพระเอกก็ไม่ต้องรับโทษแถมยังได้รับทุกอย่าง...เคยมีคนบอกว่าละครฮิตคือสิ่งที่สะท้อนปมในใจของคนแต่ละชาติ คุณโปรดิวเซอร์คิดว่าปมในใจของคนไทยกับเกาหลีต่างกันยังไงคะ..”โบอาพูด ทำให้หลายคนเห็นตามไปด้วยแล้วก็ยิ้มขำออกมา ก่อนเธอจะหันไปโยนคำถามเหมือนจะทดสอบไอคิวของก้องโปรดิวเซอร์

                    “...หนังเกาหลีชอบจบแบบไม่สมหวังคงเพราะ คนเกาหลีทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมีความสุขกว่าตัวเอง....ส่วนคนไทยถ้าให้วิเคราะห์จากละครคงเพราะ...อยากทำความผิดแล้วยังได้ดี..”ก้องตอบยิ้มๆ

                    “พี่ก้องหมายความว่า  คนเกาหลีขี้อิจฉา ส่วนคนไทยขี้โกง...ใช่มั๊ยครับ”นายนกเขาสรุป

                    “อุ๊ย! สรุปแรงไปมั๊ยคะพี่นกเขา คนไทยไม่ได้ชอบขี้โกงซะหน่อย....ใช่มั๊ยคะคุณแม่”น้องจิ๊บพูดเสียงไม่สบายใจ ก่อนจะหันไปขอความเห็นคุณนายเจี๊ยบ

                    “ก็..เอ้อ...จ้ะ...”คุณนายเจี๊ยบตอบลูกสาวไม่เต็มเสียงนัก ใจกระตุกวูบกับคำพูดบาดใจเมื่อครู่

                    “วิเคราะห์เรื่องละครเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ขอเชิญคุณนกเขาช่วยกลับมาวิเคราะห์งานของเรากันดีกว่าครับ”ก้องหักมุม หันมาพูดจริงจังกับครีเอทีฟเจ้าปัญหา

                    “...ดีครับพี่...ผมนะ ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากทำงานเต็มที่แล้ว”นายใหม่ทำเป็นพูดขึงขังเอาหน้าขึ้นมาทันที จนนายนกเขาหมั่นไส้แกล้งทำท่าเหมือนจะถุยน้ำลายใส่

                    “คือว่า...คอนเซ็ปรายการรอบรู้รอบโลกตอนเที่ยวเกาหลีของเราก็คือ ทำไมเกาหลีถึงใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงห้าสิบปีเปลี่ยนจากประเทศที่ย่อยยับเพราะสงครามกลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้  ดังนั้นเราจะเริ่มต้นเปิดเทปที่เมืองอินชอนแห่งนี้ก่อน เพราะเป็นจุดที่กองทัพพันธมิตรยกพลขึ้นบกมาช่วยเกาหลีใต้รบกับเกาหลีเหนือเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน... จากนั้นเราก็จะพูดถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมของเกาหลี และสุดท้ายก็คือการสร้างโคเรียนเวฟคลื่นวัฒนธรรมเกาหลีทำให้คนเอเชียหันมาคลั่งไคล้ดูหนังฟังเพลงเกาหลีกัน...ส่วนสคริปต์ของเทปแรกและทุกเทปอยู่ที่พี่แจ๋วเอ๊ย..พี่โง้วอึนฮเยเรียบร้อยแล้วครับ  ถ้าหายผมไม่เกี่ยว”นายนกเขาบรรยายกรอบของงานคร่าวๆอย่างคล่องแคล่วสมกับตำแหน่งครีเอทีฟรายการ

                    พี่แจ๋วมองค้อนพอเป็นพิธีก่อนจะหยิบสคริปต์เทปแรกแจกจ่ายให้กับทุกคน

                    “เทปแรกเราจะถ่ายกันที่สวนสันติภาพซายุพาร์ค....อีกไกลแค่ไหนครับ...”ก้องหันไปถามโบอา

                    “อีก....ห้านาทีค่ะ”

    โบอาตอบพลางยิ้มหวานให้ก้อง ก่อนจะหันมามองแต๊ก เบลล์และแพรรี่อย่างมีเลศนัย เหมือนจะยั่วว่าพวกแกทำเป็นแย่งกันไปเถอะ ยังไงก็เสร็จชั้นแน่... โดยลืมสังเกตไปว่านอกจากเพื่อนไกด์ที่เล่นเกมส์สนุกแย่งจีบผู้ชายกันแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งมองความสนิทสนมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของก้องกับโบอาด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คุณนายเจี๊ยบแม่ของเธอเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน...

                    ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย..สวนซายุพาร์ค   รถบัสค่อยๆขับขึ้นเนินเขาเตี้ยๆขึ้นไปจอดบริเวณที่จอดรถของสวนสาธารณะ ทีมงานทุกคนเตรียมตัวเริ่มการถ่ายทำอย่างรวดเร็ว ทีมไกด์นำหน้าพาก้อง น้องจิ๊บและนายนกเขาเดินลงไปสำรวจโลเกชั่นเพื่อเลือกมุมกล้องและบล็อกกิ้ง  ส่วนบนรถ..จ๋ากับใหม่ตรวจสอบและเตรียมพร้อมอุปกรณ์ถ่ายทำ ทั้งสองช่วยกันใส่ถ่านให้กับซินธิไซเซอร์หรือตัวรับสัญญาณเสียงไวร์เลสแล้วนำตัวรับมาติดที่ไมค์หัวกล้อง ส่วนตัวส่งที่มีไมค์ขนาดจิ๋วสำหรับติดที่ตัวพิธีกรหลังจากเช็คเสียงแล้วตากล้องจ๋าก็หยิบเดินไปส่งให้กับพี่แจ๋วที่กำลังวุ่นวายอยู่กับกระเป๋าแต่งหน้า ก่อนที่นายใหม่และจ๋าจะเดินลงจากรถไป

                    สวนซายุพาร์คตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีด้านหนึ่งมองเห็นทะเล มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ที่กลางสวนมีรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของพลเอกดักลาส แม็คอาเธอร์นายพลห้าดาวคนสุดท้ายแห่งกองทัพสัมพันธมิตร ซึ่งบางคนยกย่องให้เป็นบิดาแห่งเกาหลีใต้เพราะหากไม่มีท่านผู้นี้และกองกำลังสัมพันธมิตร 16 ชาติซึ่งรวมทั้งกองทัพไทยที่ยกเข้าช่วย  กองทัพเกาหลีเหนือคงสามารถยึดครองและผนวกดินแดนเกาหลีใต้ไปได้อย่างง่ายดาย  สวนสันติภาพแห่งนี้จึงตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลผู้นี้

                    เป็นช่วงเช้าของวันธรรมดา สวนแห่งนี้ยังไม่มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมมากนัก แต่ก็เริ่มมีรสบัสพานักเรียนมาทัศนะศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ขับเข้ามาหาที่จอดบ้างแล้ว ทีมงานจึงต้องเร่งมือกันมากขึ้น หลังจากนายนกเขาบรีฟสคริปต์กับพิธีกรและตากล้องเสร็จเรียบร้อย พี่แจ๋วก็เข้ามาจัดแจงเสื้อผ้าและแต่งหน้าให้น้องจิ๊บพิธีกรหญิง ก่อนจะหันไปพูดทางมุมที่ไกด์ทั้งสี่ยืนอยู่ขึ้นว่า

                    “โบอา.. ช่วยแต่งหน้าให้คุณก้องหน่อย ไม่มากหรอกค่ะ แค่รองพื้นกับแต่งทรงผมนิดหน่อยให้ดูดีก็พอ”

                    ก้องนั่งลงใกล้ๆกับที่พี่แจ๋วกำลังแต่งหน้าน้องจิ๊บอยู่ โบอาหันยักคิ้วให้เพื่อนก่อนจะลงมานั่งประจันหน้ากับก้องแล้วเธอก็เริ่มซับหน้า รองพื้น หวีผมให้เขาแบบจงใจใกล้ชิดจนได้กลิ่นกายของกันและกัน...ทำให้หัวใจของทั้งสองเผลอเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางสายตาอิจฉาของเพื่อนๆ และสีหน้าไม่ชอบใจของน้องจิ๊บจนพี่แจ๋วเองเริ่มรู้สึก และทำให้เบลล์กับแต๊กหันมาสังเกตเห็นเช่นกัน.....

                    “...เฮ๊ย...งานเข้าแล้วว่ะแก...ทำไงดี..”เบลล์เอาศอกกระทุ้งสีข้างแต๊กเบาๆ ชักเริ่มกลัวว่าเกมส์สนุกของพวกเธอจะบานปลายขึ้นมา

                    “เพื่อป้องกันปัญหาบานปลาย...สงสัยคงต้องใช้แผนเดิม...”แต๊กหันมาหลิ่วตากับเบลล์แบบรู้กัน เหมือนกับเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว หลายครั้ง

                    การถ่ายทำรายการผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าพิธีกรหญิงดูจะไม่ค่อยมีสมาธินักพูดผิดบ่อยๆ แต่ทุกคนก็คิดว่าเป็นเพราะยังอ่อนเพลียจากการเดินทาง พึ่งมาถึงก็ต้องรีบถ่ายทำแข่งกับเวลาทันที แต่การวางคาแรคเตอร์ให้ก้องเป็นเสมือนพี่ชายที่พาน้องสาวมาเที่ยวแล้วเล่าเรื่องราวต่างๆให้น้องฟังทำให้น้องจิ๊บไม่ต้องจดจำอะไรมากนัก ทำให้ถ่ายเสร็จได้ตามเวลา  ขณะที่ก้อง นกเขา ใหม่และจ๋ากำลังตรวจสอบภาพในเทปที่ถ่ายไว้ โบอาเดินถือน้ำมาให้น้องจิ๊บแต่ก็ถูกสะบัดหน้าเมินไป นั่นแหละจึงทำให้โบอาเริ่มรู้ตัว ว่าเกมส์นี้ชักจะไม่สนุกซะแล้ว...

                    คุณนายเจี๊ยบหันไปซุบซิบถามเบลล์เกี่ยวกับภาษาเกาหลีบางคำ ก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้นว่า

                    “ม็อกโก ซิบพอโย...(อยากกินข้าวแล้ว)”

                    “...ขอเชิญขึ้นรถเลยค่ะ วันนี้เราจะไปทานอาหารกลางวันที่ท่าเรือวอนมิโดกัน”

    โบอาเอ่ยขึ้น หันมายิ้มพยายามเอาใจคุณนายเจี๊ยบแต่ก็ถูกทำเมินไม่เห็น ทำให้โบอาคิดว่าเธอคงโกรธแทนลูกสาวที่เห็นโบอาไปทำตัวใกล้ชิดกับก้อง ทั้งที่ความจริงแล้วสาเหตุนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับเธอโดยตรง

    รถบัสของคณะถ่ายทำรายการรอบรู้รอบโลกแล่นออกจากสวนแห่งสันติภาพ ค่อยๆไกลออกไปขณะที่ภายในรถความคุกรุ่นของสงครามในใจของใครบางคนก็กำลังค่อยๆปะทุขึ้น....

     

    ในเวลาเดียวกันนั้น รถเก๋งเช่าที่มีนักสืบตั๊กเป็นผู้โดยสารและมีกะเทยฝาแฝดหน้าปลวกเอมมี่กับแอนนี่ผลัดกันขับก็กำลังขับผ่านด่านมอเตอร์เวย์ทางด่วนพิเศษต่างจังหวัดมุ่งสู่จังหวัดคังวอนโดที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม...แต่รอยยิ้มของคนในรถคันนั้นกลับเต็มไปด้วยดาบที่ซ่อนเอาไว้รอเชือดเฉือนบาดคมกัน ท่ามกลางสายลมอันเย็นยะเยียบของถนนที่ตัดผ่านซอกเขาคดเคี้ยวที่หิมะยังคงละลายไม่หมด...

                                                                   

    4.มื้อแห่งมุสา

                    รถบัสของคณะรายการทีวีจากเมืองไทยเดินทางมาถึงบริเวณท่าเรือวอนมิโดในเวลาบ่ายโมงเศษ ริมทะเลเป็นลานซีเมนต์กว้างและยาว มีรูปปั้นงานศิลปะตั้งประดับอยู่รายรอบ บางจุดก็มีเกาหลีมือบอนแอบพ่นสีสเปรย์เป็นภาพหรือตัวอักษรเกาหลีไว้บ้างแต่ไม่มากนักเป็นคำสั้นๆ คิดว่าคงไม่น่าจะใช่ประเภทประกาศว่าโรงเรียนอะไรเป็นพ่อใครแบบในเมืองไทย  บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวทะเลที่สวยงามจึงมีผู้คนมานั่งพักผ่อนกันมากในวันหยุด และท่าเรือแห่งนี้ก็สามารถนั่งเรือไปถึงญี่ปุ่นได้ด้วย  ส่วนตามรายทางก็มีร้านรถเข็นขายออมุกหรือปลาบดเสียบไม้ทอดกับหนวดปลาหมึกยักษ์แห้งเสียบไม้ตั้งขายอยู่หลายร้าน ซื้อแค่หนวดเดียวก็เดินเคี้ยวได้ทั้งวันแล้วเพราะทั้งยาวและเหนียว แต่น้ำจิ้มดูจะรสชาติจืดชืดไปนิดสำหรับลิ้นแบบคนไทย

                    วันนี้เป็นวันศุกร์ไม่ใช่วันหยุดผู้คนที่มาเที่ยวพักผ่อนจึงไม่มากนัก คณะไกด์เดินนำก้องและทีมงานไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่เป็นตึกแคบๆหลังหนึ่ง เมื่อทุกคนลงนั่งได้ไม่นานอาหารก็เริ่มพร้อมเสิร์ฟทันทีเพราะมีการโทรสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว การวางอาหารและเครื่องเคียงแบบเกาหลีจะวางจากซ้ายไปขวาของผู้รับประทานเป็นลำดับคือ ข้าว ซุป ช้อนและตะเกียบ ส่วนพวกสตูและเครื่องเคียงอื่นๆจะวางที่กลางโต๊ะ ชาวเกาหลีจะใช้ช้อนสำหรับตักข้าวและซุป ส่วนเครื่องเคียงอื่นๆจะใช้ตะเกียบ ไม่นิยมใช้ช้อนและตะเกียบพร้อมกัน และไม่นิยมยกจานหรือชามขึ้นมาขณะทานอยู่  จานชามและตะเกียบตามร้านอาหารในเกาหลีส่วนใหญ่จะทำจากเหล็กกล้าเพราะมีราคาถูกและเพื่อส่งเสริมนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศในยุคหนึ่ง

                    “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านคะ เมนูแนะนำวันนี้จานแรกชื่อว่าทักคาลบี้ค่ะ...”เบลล์ลุกขึ้นพูดแนะนำขณะที่เห็นพนักงานของร้านกำลังยกกะทะยักษ์ออกมา

                    “อ๋อ เคยกินแล้ว เป็นแท่งเล็กๆ กรอบๆเค็มๆ”นายใหม่พูดเสียงภูมิใจ

                    “ไอ้บ้า นั่นมันข้าวเกรียบคาลบี้”นายนกเขาช่วยตบมุก

                    ในจานกระทะยักษ์คือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นพอคำหมักด้วยซีอิ้วและเครื่องปรุงแล้วนำมาผัดกับซอสพริกแดงในกระทะ เสิร์ฟพร้อมซุปสาหร่าย ข้าวสวยและกิมจิ  ด้วยความหิวทุกคนจึงเริ่มจ้วงทักคาลลี้หรือไก่ผัดเผ็ดบาร์บีคิวทานกับข้าวสวยแล้วซดซุปสาหร่ายกันอย่างเอร็ดอร่อย

                    “นี่พวกเธอทุกคน อย่าลืมกินนี่กันด้วยนะไอ้เนี่ย...อุนจิน่ะ”

                    คุณนายเจี๊ยบพูดทักขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคีบผักดองในจานมาทานกันเลย แต่คำที่ใช้เรียกทำให้หลายคนแทบสำลักข้าว หันมามองหน้าคุณนายเจี๊ยบเหมือนจะพยายามเดาว่าเล่นมุกรึเปล่า

                    “คุณแม่คะ เค้าเรียกกิมจิค่ะ”น้องจิ๊บพูดแก้ให้แต่ไม่ใช่การตบมุก เพราะรู้ว่าแม่จำผิด

                    “อ๋อเหรอ แต่มันก็ไม่ต่างกันนักหรอกใช่มั๊ย กิมจิกับอุนจิน่ะ”คุณนายเจี๊ยบพยายามแก้หน้าให้ตัวเอง

                    “ความจริง...มันต่างมากเลยค่ะ...”น้องจิ๊บรำพึงเสียงอ่อยๆ แอบอายเล็กน้อย

                    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำเรียกผิดของคุณนายเจี๊ยบรึเปล่า ทำให้มื้อนั้นกิมจิเหลืออยู่มากทีเดียว

                    “อย่าพึ่งรีบอิ่มนะฮะ เพราะเมนูที่กำลังยกมาเสิร์ฟนี้คือ แฮมุนทัง...หรือโป๊ะแตกเกาหลี...” แต๊กพูดแนะนำขณะที่หม้อไฟที่ประกอบไปด้วยหอยปูกุ้งและผักสดนานาชนิดถูกยกมาตั้ง  พี่แจ๋วเจ้าของฉายาลิ้นช่างทองประจำทีมลองชิมแล้วพูดขึ้น...

                    “ก็อร่อยดีนะ แต่รสมันยังไม่แบบ โป๊ะ..แตกแหกกระเจิง!

                    “...ได้ยินแล้วใช่มั๊ย...แพรรี่”โบอาพูดพลางทำท่าตบมือเบาๆสองทีเหมือนเล่นมายากล

                    “อ่าร๊าโซ่(รู้แล้ว , อ๋อ เหรอ..ฯลฯ)”

    แพรรี่รับคำแล้วหยิบกระปุกเครื่องปรุงแบบไทยๆหลายกระปุกขึ้นมาวางบนโต๊ะ มีทั้งน้ำพริกเผา พริกป่น น้ำปลาสารพัด  มีเสียงเฮดังมาจากหลายคนบนโต๊ะ

                    “น่ารักจริงๆเลย”นายนกเขาเอ่ยชม

                    “อุ๊ย..พูดตรงๆแบบนี้เลยเหรอคะ”แพรรี่ทำเป็นอาย ยกแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามขึ้นปิดหน้า

                    “หมายถึงน้ำพริกเผา....ทำไมไม่รีบเอาออกมาเร็วกว่านี้หน่อย”นายนกเขาพูดต่อ

                    “แหม ก็อยากให้ลองชิมอาหารรสชาติเกาหลีแท้ๆกันก่อนไงคะ ...ไม่รู้ว่าจะเลือดรักชาติกันขนาดนี้”เบลล์แก้ตัวยิ้มๆขณะช่วยพี่แจ๋วปรุงโป๊ะแตกเกาหลีเวอร์ชั่นแซ่บแบบไทยๆ

                    ชาวเกาหลีเชื่อว่าการทานอาหารร่วมจานหรือชามเดียวกันจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่าการร่วมทานทักคาลบี้ในกระทะกับแฮมุนทังในหม้อไฟได้ทำให้คณะรายการทีวีจากเมืองไทยและชาวไกด์ไทยพลัดถิ่นกับสาวเกาหลีหลงกลุ่มเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น...แต่ก็คงจะยังไม่มากพอ 

    เบลล์แอบสะกิดแต๊กให้ดูน้องจิ๊บที่ดูเหมือนจะมีท่าทีอึดอัดหงุดหงิดไม่ร่าเริงสนุกสนานเหมือนคนอื่นๆ ขณะที่นายนกเขากับนายใหม่ก็คอยแย่งกันพูดคุยเอาใจหยิกแกมหยอกกับโบอาจนเธอแทบซ่อนสีหน้ารำคาญเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนก้องนั้นก็แอบชำเลืองมองแล้วซ่อนสีหน้าครุ่นคิด...

                    “...กลายเป็นตัวปัญหาอีกแล้วเหรอ...นังเพชราของพวกเรา”แพรรี่แทรกหน้าเข้ามาพูดกระซิบกับแต๊กและเบลล์

                    “อย่างนี้ต้อง...กำจัดจุดอ่อน!”แต๊กพูดสรุป  เบลล์กับแพรรี่พยักหน้ารับรู้

                    เบลล์ แพรรี่และแต๊กลุกขึ้นแล้วเดินไปจูงมือโบอามายืนที่หน้าห้อง ทำให้ชาวคณะทีวีจากเมืองไทยหันมามองด้วยความสงสัย ทั้งสี่โค้งคำนับพร้อมกัน แล้วเบลล์ก็เอ่ยขึ้นว่า

                    “สวัสดีอีกครั้งในนามของพวกเราชาวมีโซโคเรียนทราเวลค่ะ  บนรถบัสทุกท่านได้พูดแนะนำตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว คราวนี้พวกเราทั้งสี่ก็ขอถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการบ้าง...เริ่มต้นที่คนนี้ค่ะ...ชายหนุ่มคนเดียวของกลุ่มเรา”เบลล์พูดจบพลางผายมือไปที่ต๊อกแต๊ก

                    “สวัสดีครับ...ผมชื่อดำรงค์ศักดิ์ เป็นคนพิษณุโลกครับ...ตอนอยู่บ้านที่พิดโลกผมก็จะเป็นแบบนี้..”แต๊กเริ่มต้นพูดด้วยเสียงยืดอกเก๊กห้าว สุดแมน ก่อนจะค่อยๆเลิกแอ๊บ เปลี่ยนเสียง ปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา

                    “...แต่พอมาอยู่เกาหลีก็จะเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละฮะ ยังหนักใจอยู่เลยเพราะปีหน้าต้องบวชให้พ่อแม่แล้ว...บวชแล้วไม่รู้จะเป็นไง”

                    “ตกนรกแน่นอน”นายใหม่ปากปีจอเสนอความเห็นขึ้นมาทันที

                    “หมายความว่าพ่อแม่ยังไม่รู้เหรอ..”พี่แจ๋วถามอย่างสงสัย

          

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น